ธุรกิจของ
NAWARAT

บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) เริ่มประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและผลิตเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2519 ในปี พ.ศ.2538 ได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเปลี่ยนชื่อจาก บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด เป็น บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2538 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนและเรียกชำระทุนเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท โดยการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป และนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 31 สิงหาคม 2538 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรับหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2538 ณ วันที่ 31 ธันวาคม2565 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 2,585,481,515 บาท และมีทุนชำระแล้ว 2,585,481,515 บาท

500
ล้านบาท

บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนและ
เรียกชำระทุน

2,585
ล้านบาท

มีทุนชำระแล้ว

2,585
ล้านบาท

บริษัทมีทุนจดทะเบียน

ธุรกิจ
เหมาก่อสร้าง

บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยรับงานจากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ซึ่งมีทั้งงานที่เป็นผู้รับเหมาโดยตรง (Main Contractor) ผู้รับเหมาช่วง (Sub-Contractor) หรือกิจการร่วมค้า (Joint Venture) บริษัทเป็นผู้รับเหมาชั้นนำของหลายหน่วยงาน เช่น เป็นผู้รับเหมาประเภท 1 เอ ของกรมทางหลวง มีสิทธิเข้าประกวดราคางานทางได้ทุกประเภทของกรมทางหลวง โดยไม่จำกัดระยะทางและจำนวนเงิน และเป็นผู้รับเหมาที่จดทะเบียนไว้กับหน่วยราชการต่างๆ อาทิเช่น กรมชลประทาน กรมโยธาธิการ การสื่อสารแห่งประเทศไทย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค เป็นต้น ในการรับงานแต่ละโครงการ บริษัทจะรับงานโดยวิธีการประกวดราคาหรือการว่าจ้างโดยตรง สืบเนื่องจากชื่อเสียงและผลงานในอดีตคือปัจจัยหลักในการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า ผู้ว่าจ้างงานของบริษัท

ปัจจุบันบริษัทสามารถรับงานก่อสร้างทุกประเภท โดยอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ :
  • งานก่อสร้างอาคารและโรงงานอุตสาหกรรม
  • งานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและระบบงานโยธา
  • งานก่อสร้างโครงสร้างชายฝั่งและท่าเรือ
  • งานก่อสร้างโรงงานไฟฟ้า เขื่อนผลิตไฟฟ้า
  • งานก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียและโรงงานบำบัดน้ำเสีย
  • งานก่อสร้างอุโมงค์ วางท่อใต้ดินและงานดันท่อลอด
  • งานก่อสร้างระบบขนส่งรถไฟฟ้า


ธุรกิจ ผลิตเสาเข็ม คอนกรีตอัดแรง และผลิตภัณฑ์คอนกรีต

บริษัทตั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างของบริษัท และจำหน่ายให้บุคคลภายนอก

ทั้งโดยวิธีการประกวดราคาและการว่าจ้างโดยตรง ผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่ผลิตจากโรงงานของบริษัท เช่น เสาคอนกรีตอัดแรง คานคอนกรีตอัดแรง ท่อคอนกรีตสำหรับใช้ในโครงการบำบัดน้ำเสีย แผ่นผนัง ราวสะพาน แผ่นพื้นสะพาน และ Sheet pile ป้องกันดินพัง เป็นต้น โดยมีอัตราการผลิตเพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างของบริษัท เปรียบเทียบกับการจำหน่ายให้บุคคลภายนอกในอัตราร้อยละ 23 : 77 (ปี 2563), ร้อยละ67 : 33 (ปี 2564) และ ร้อยละ 22 : 78 (ปี 2565)


ธุรกิจ เหล็กแปรรูป

บริษัทดำเนินการผลิตเหล็กแปรรูปเพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างของบริษัท เพื่อเป็นการสนับสนุนในโครงการก่อสร้าง และจำหน่ายโดยตรงให้แก่บุคคลภายนอก โดยมีอัตราการผลิตเพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างของบริษัทเองเปรียบเทียบกับการจำหน่ายให้บุคคลภายนอกในอัตราร้อยละ90 : 10 (ปี 2563), ร้อยละ89 : 11 (ปี 2564) และ ร้อยละ 95 : 5 (ปี 2565)


ธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย

ในปี พ.ศ.2544 บริษัทได้ลงทุนใน บริษัท ยูทิลิตี้ บิสิเนส อัลลายแอนซ์ จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย โดยลงทุนในอัตราส่วนร้อยละ 50 ต่อมา เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2546 บริษัทได้ขายเงินลงทุนบางส่วนให้แก่บุคคลภายนอก ทำให้สัดส่วนเงินลงทุนลดเหลือร้อยละ 33.33 แต่ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2549 บริษัทได้ซื้อเงินลงทุนคืนจากบุคคลภายนอก สัดส่วนเงินลงทุนจึงกลับมาเป็นร้อยละ 60

ต่อมา บริษัท ยูทิลิตี้ บิสิเนส อัลลายแอนซ์ จำกัด ได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และได้เพิ่มทุนขายแก่ประชาชนทั่วไป 170 ล้านหุ้น ในราคาขายหุ้นละ 1.70 บาท (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท) และเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้รับหุ้นสามัญของบริษัทนี้เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และให้เริ่มทำการซื้อขายได้

สัดส่วนเงินลงทุนของบริษัทในบริษัท ยูทิลิตี้ บิสิเนส อัลลายแอนซ์ จำกัด (มหาชน) ลดลงจากร้อยละ 60 เหลือร้อยละ 43 เมื่อพิจารณาตามเกณฑ์คุณภาพแล้ว บริษัทยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีอำนาจในการควบคุมเช่นเดิม บริษัท ดังนั้น บริษัท ยูทิลิตี้ บิสิเนส อัลลายแอนซ์ จำกัด (มหาชน) ยังคงสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทดังเดิม


ธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ในปี 2556 บริษัทได้ลงทุนใน บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 200 ล้านบาท (หุ้นสามัญ 2,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท) ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว 1,100 ล้านบาท

ปัจจุบันบริษัท มานะ พัฒนาการ จำกัด ดำเนินการก่อสร้างบ้านพักอาศัยเพื่อขาย รวม 5 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 4 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ รายละเอียดดังนี้

  1. โครงการแรกเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้นอยู่ถนนร่มเกล้า ชื่อโครงการ บารานี พาร์ค ร่มเกล้า ก่อสร้างบ้านเดี่ยว 2 ชั้นจำนวน 86 หลัง ในเนื้อที่ดินทั้งหมด 22- 2-01 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,004 ล้านบาท เริ่มดำเนินงาน เดือน ตุลาคม 2556 สิ้นสุด เดือน มีนาคม 2559 ปัจจุบันงานก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว การจำหน่ายและโอน บ้านเดี่ยว 86 หลัง มูลค่า 1,004 ล้านบาท ทำสัญญาซื้อขายแล้ว 54 หลัง (54%) โอนแล้ว 50หลัง (49%) คิดเป็นเงิน 489 ล้านบาท
  2. โครงการที่ 2 เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ชื่อโครงการ บารานี เรสซิเดนซ์ ตั้งอยู่ที่ รังสิต-คลองสาม จำนวน 140 หลัง ในเนื้อที่ดินทั้งหมด 34-1-34 ไร่ มูลค่าโครงการ 893 ล้านบาท ทำสัญญาซื้อขายแล้ว 137 หลัง (98 %) โอนแล้ว 137 หลัง (98%) คิดเป็นเงิน 874 ล้านบาท
  3. โครงการที่ 3 เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้นชื่อโครงการบารานี บลิซ ตั้งอยู่ที่ รังสิต-คลองสาม จำนวน 148 หลัง ในเนื้อที่ดินทั้งหมด 33-3-93 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,275 ล้านบาท ทำสัญญาซื้อขายแล้ว 1 หลัง (1%) แต่ยังไม่ได้โอน
  4. โครงการบารานี บลิซ (รังสิต-วงแหวน) ถนนรังสิต-นครนายก (ช่วงคลอง 5) มูลค่าโครงการ 739 ล้านบาท
  5. โครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียม ชื่อโครงการ Aspen Condo ตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 105(ลาซาล) เป็นคอนโดมิเนียม ขนาด 7 อาคาร รวม1,507ห้องในเนื้อที่ดินทั้งหมด 15-1-40 ไร่ มูลค่าโครงการ 3,218ล้านบาท แบ่งการก่อสร้างเป็น 4 เฟส เริ่มโครงการเดือนกุมภาพันธ์ 2559 สิ้นสุดโครงการในเดือนตุลาคม 2565ปัจจุบัน เฟส1 จำนวน 425 ห้อง เฟส 2 จำนวน 398 ห้อง และเฟส 3 จำนวน 425 ห้อง ก่อสร้างแล้วเสร็จร้อยละ 100 ส่วนเฟส 4 จำนวน 259 ห้อง ปัจจุบันยังไม่ได้เปิดให้จอง รวมทั้งยังไม่ได้เริ่มการก่อสร้าง การจำหน่ายและโอน เฟส 1+2+3 รวม 1,248 ห้อง มูลค่า 2,357ล้านบาท ทำสัญญาซื้อขายแล้ว 1,063 ห้อง(84%) โอนแล้ว 1,049ห้อง(61%) คิดเป็นเงิน 1,954 ล้านบาท

สัดส่วนเงินลงทุนของบริษัทในบริษัท มานะ พัฒนาการ จำกัด ร้อยละ 100 และได้จ่ายชำระเงินลงทุนในหุ้นครบถ้วนแล้ว